บทความ ทางกฎหมายโดยอัยการวรเทพสกุลพิชัยรัตน์ เรื่องขังระหว่างสอบสวนเส้นบางบางระหว่างเสรีภาพกับความสงบสุขของสังคม

บทความทางกฎหมาย
โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
เรื่อง “ ขังระหว่างสอบสวน เส้นบางบางระหว่างเสรีภาพ กับความสงบสุขของสังคม”
ทันทีที่มีข่าว “อัยการ สำนักงานคดีพิเศษ มีความเห็น สั่งฟ้อง บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป กับ            16 บอส รวม 5 ข้อหา ส่วน "บอสแซม-บอสมิน" มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเพราะไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ
        คำถามที่ตามมา คือ “ ใครจะต้องรับผิดชอบ กรณี บอสแซม กับ บอสมีน ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เกือบ 84 วัน” และ “ บอสแซม กับ บอสมีน จะได้รับการชดเชยเยียวหรือไม่ อย่างไร?”

  ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจขั้นตอนตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นภายหลัง พนักงานอัยการ มีความเห็น “ สั่งไม่ฟ้อง ” ผู้ต้องหา

ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2563 ข้อ
ข้อ 83 – การปล่อยตัวผู้ต้องหาที่สั่งไม่ฟ้อง ถ้าผู้ต้องหาถูกควบคุม หรือ ขังอยู่ เมื่อพนักงาน         อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ให้พนักงานอัยการ “สั่งปล่อย” หรือ “ขอให้ศาลสั่งปล่อย” ผู้ต้องหาไป แล้วแต่กรณี

แต่เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ได้บัญญัติขั้นตอน         การดำเนินการไว้ดังนี้
“มาตรา 145 ในกรณีที่มี คำสั่งไม่ฟ้อง และคำสั่งนั้นไม่ใช่ของ “อัยการสูงสุด” ถ้าใน
กรุงเทพมหานคร ให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำสั่งไปเสนอ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” 
แต่ถ้าในจังหวัดอื่นให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำสั่งไปเสนอ “ ผู้ว่าราชการจังหวัด” 
ในกรณีที่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัด แย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ ให้ส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยัง  “อัยการสูงสุด” เพื่อชี้ขาด 

จะเห็นได้ว่า เมื่อ “ พนักงานอัยการ” มีคำสั่ง “ ไม่ฟ้อง ” ผู้ต้องหา กฎหมายได้กำหนดขั้นตอนให้ พนักงานอัยการ จะต้อง เสนอสำนวนและความเห็นที่ อัยการสั่งไม่ฟ้อง ไปยัง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (กรณีกรุงเทพมหานคร)  และเสนอสำนวนและความเห็นไปยัง “ ผู้ว่าราชการจังหวัด” (กรณีต่างจังหวัด)  
ดังนั้น คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ จึงยังไม่เด็ดขาด หรือถึงที่สุด กฎหมายต้องการให้มีการ ตรวจสอบ ถ่วงดุล คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ โดยให้ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” และ              “ผู้ว่าราชการจังหวัด” พิจารณาอีกครั้ง 
หาก “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” หรือ “ ผู้ว่าราชการจังหวัด” เห็นชอบ ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ  คำสั่งไม่ฟ้องของ พนักงานอัยการ ก็ “ เด็ดขาด” หรือ “ ถึงที่สุด ”
         แต่ถ้า “ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” หรือ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” เห็นแย้ง  หรือ แย้งคำสั่ง          ไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ  “ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” หรือ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” จะต้องเสนอสำนวนและความเห็นคำสั่ง “แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ” ไปยัง  “ อัยการสูงสุด” เพื่อ              ชี้ขาด 
คำสั่ง อัยการสูงสุด ไม่ว่าจะมีความเห็น “ เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย” กับคำสั่ง “ แย้งคำสั่ง ไม่ฟ้อง  ”ของ“ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” หรือ “ผู้ว่าราชการจังหวัด”
         คำสั่งของ “ อัยการสูงสุด” เป็น “ เด็ดขาด” ต้องปฏิบัติตามนั้น 

          “สั่งฟ้องผู้ต้องหาตามความเห็นแย้งของพนักงานสอบสวน” 
          หรือ “ สั่งไม่ฟ้อง ตามความเห็นของพนักงานอัยการ”
 
  กรณี “บอสแซม”  และ “บอสมีน” ก็เข่นกัน เมื่อ พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ                  “สั่งไม่ฟ้อง” บอสแซม  และ บอสมีน แล้ว  พนักงานอัยการคดีพิเศษ ก็จะส่งสำนวนความเห็นคำสั่ง        ไม่ฟ้องดังกล่าวไปให้ “ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ DSI  ( เนื่องจากคดีนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI  รับเป็นคดีพิเศษเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ) พิจารณาว่า จะมีความเห็นแย้งในคำสั่งไม่ฟ้องหรือไม่
          แต่เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของ “ผู้ต้องหา” ที่ พนักงานอัยการ มีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” พนักงานอัยการก็จะมีคำสั่ง “ปล่อยตัวต้องหาทั้ง 2 คน” (บอสแซม และบอสมีน)  โดยยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขอปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน โดยไม่จำต้องรอว่า  อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะมีความเห็นและคำสั่งแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการคดีพิเศษหรือไม่ ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดฯดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หากต่อมา อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI  เกิดเห็น “แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง”ของ “ พนักงานอัยการคดีพิเศษ” ก็จะต้องส่งสำนวนและความเห็น “แย้ง” ไปยัง “ อัยการสูงสุด” เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป
จะเห็นได้ว่า แม้ พนักงานอัยการคดีพิเศษ จะมีคำสั่งไม่ฟ้องและมีคำสั่งปล่อยตัว บอสแซม และบอสมีน ไปแล้ว  ( ซึ่งคนทั่วไปมักจะเข้าใจว่า  คดีเด็ดขาดแล้ว ผู้ต้องหาพ้นผิดไปแล้ว ซึ่งความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ) ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า คดียังคงต้องเสนอไปยัง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI  เพื่อพิจารณาอีก รวมทั้ง อาจต้องเสนอไปยัง “ อัยการสูงสุด” เพื่อชี้ขาด กรณี อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI  มีคำสั่งแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ 
           ในคดีอาญา ผู้ต้องหา หรือ จำเลย จะพ้นผิด หรือ พ้นความรับผิดไปได้ก็ต่อเมื่อ 
1. พนักงานอัยการ มีคำสั่งไม่ฟ้อง และคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว “ เด็ดขาด” หรือ “ถึงที่สุด”แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิพิจารณาความอาญา มาตรา 145 , 145/1  
2. ศาลมีคำพิพากษา “ ยกฟ้อง” และ คำพิพากษาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ( คดีถึงที่สุดเมื่อ               พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ หรือ ฎีกา และ/หรือ  ไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ หรือ ฎีกา (แล้วแต่กรณี)

การที่ “ผู้ต้องหา หรือ จำเลยในคดีอาญา”ต้องถูก “รัฐ” ดำเนินคดีอาญาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ทั้งที่ ไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด หรือมีพยานหลักฐานเพียงพอให้ศาลรับฟังจนปราศจากข้อสงสัยจนเป็นเหตุให้ศาล “ยกฟ้อง” ต้องสูญเสียอิสรภาพ ถูกจองจำ ถูกบันทึกประวัติอาชญากรรม แต่สุดท้าย พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง  หรือ ศาลพิพากษา ยกฟ้อง ผู้ต้องหา หรือ จำเลยในคดีอาญาดังกล่าวจะมีสิทธิได้รับค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา หรือไม่อย่างไรบ้าง ?

พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544(และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559)

มาตรา 20 “จำเลย”  ที่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายตามพระราชบัญญัตินี้ต้อง
(1) เป็น จำเลยที่ถูกดำเนินคดีโดยพนักงานอัยการ
(2) ถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาคดี และ
(3) ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด และ มีการถอนฟ้องใน 
      ระหว่างดำเนินคดี หรือ ปรากฏตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนั้นว่า ข้อเท็จจริง
      ฟังเป็นยุติว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือ การกระทำของจำเลยไม่เป็น
       ความผิด

มาตรา 3  ได้กำหนด บทนิยาม
“ผู้เสียหาย” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิตหรือร่างกายหรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น โดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น
“จำเลย” หมายความว่า บุคคลซึ่งถูกฟ้องต่อศาลว่าได้กระทำผิดความอาญา

จากบทกฎหมายดังกล่าว มีข้อสังเกตว่า
1.ต้อง ถูกฟ้องคดี (โดย พนักงานอัยการ) ว่าได้กระทำผิดอาญา ต่อศาลแล้ว
2. ถูกคุมขังในระหว่างการดำเนินคดี
3.ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด  หรือ มีการถอนฟ้องในระหว่างดำเนินคดี
แต่ การที่ศาลพิพากษา “ยกฟ้อง” ด้วยเหตุ “ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมี     ข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองนั้น  ไม่ใช่ เป็นกรณีที่ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด อันมีผลทำให้ไม่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายในอันที่จะทำให้จำเลยในคดีอาญาดังกล่าว (แม้จะเป็นการถูกฟ้องโดยพนักงานอัยการก็ตาม) ได้รับเงินค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ตามกฎหมายฉบับดังกล่าวแต่อย่างใด 

กรณี บอสแซม  และบอสมีน จึงเป็นเพียง “ผู้ต้องหาที่ 17 และที่ 18” ในสำนวนคดี                   ดิไอคอนกรุ๊ป  เท่านั้น ยังไม่ได้ถูกฟ้องเป็น “ จำเลย” ต่อศาล จึงยังไม่ใช่ “ จำเลย” ที่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ตาม พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 แต่อย่างใด
แต่การที่ บอสแซม และบอสมีน ถูกควบคุมตัวในเรือนจำเป็นเวลา 84 วัน เกิดจาก กระบวนการควบคุมตัวในระหว่างการสอบสวน ( ขังในระหว่างสอบสวน )  ซึ่งสามารถจะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84

“ ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป จะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติด ๆ กันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินแปดสิบสี่วัน”  

การที่ผู้ต้องหา จะได้รับการประกันตัว หรือปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการสอบสวนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและเป็น “ดุลพินิจของศาล” ในการพิจารณา อนุญาต หรือ ไม่อนุญาตให้ประกัน หรือปล่อยตัวชั่วคราว อาทิเช่น ความร้ายแรงแห่งคดี พฤติกรรมแห่งคดี  มูลค่าความเสียหาย มีพฤติการณ์จะหลบหนีหรือไม่ หากปล่อยตัวชั่วคราวไปแล้ว  หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือไม่ ความน่าเชื่อถือของหลักทรัพย์ เป็นต้น

การควบคุมตัวผู้ต้องหาในระหว่างการสอบสวน จึงเป็นดุลยภาค ระหว่าง “ เสรีภาพของผู้ต้องหา” กับ “ การรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม” 
หาก “ศาล”  เลือกที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมมากเกินไป ก็อาจจะกระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพของผู้ต้องหา ที่กฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลย เป็น ผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาว่า เขาเป็นผู้กระทำผิด
และหากศาลเลือกที่จะ คุ้มครองเสรีภาพของผู้ต้องหา มากเกินไป สังคมบ้านเมืองก็อาจไม่สงบสุข ผู้ต้องหาหลบหนี ผู้กระทำผิดไม่ได้รับการลงโทษ
ผู้เขียนเห็นว่า  “การไม่ผลักประชาชนให้เข้าไปสู่ การเป็นผู้ต้องหา จนกว่า จะมีพยานหลักฐานแน่ชัดว่า เขาเป็นผู้กระทำผิด การกระทำของเขาเป็นความผิด และไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด หรือ ไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ”  
โดยเริ่มจาก กระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน “ ยังไม่แจ้งข้อหาใครจนกว่า จะมีพยานหลักฐานแน่ชัดว่า เขาเป็นผู้กระทำผิด ทั้งนี้ เพราะ หากมีการแจ้งข้อหา เขาจะตกเป็น “ผู้ต้องหา” ทันที  ผู้ต้องหาจะถูกควบคุมตัวในระหว่างการสอบสวน เว้นแต่จะมีประกัน หรือได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หากไม่ได้รับการประกันตัว หรือปล่อยตัวชั่วคราวก็จะต้องถูกควบคุมตัว มีการฝากขังต่อศาล และถูกควบคุมตัวในเรือนจำจนกว่าจะพิจารณาคดีแล้วเสร็จ หรือได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หรือ คดีถึงที่สุดให้ยกฟ้อง 
การควบคุมตัวระหว่างการสอบสวน โดยฝากขังต่อศาล และให้ศาลใช้ดุลพินิจในการควบคุมตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างสอบสวนจึงเป็นปลายเหตุ โดยจักต้องเริ่มตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน ที่จะต้องไม่แจ้งข้อหาแก่ บุคคลใด จนกว่า จะมีพยานหลักฐานแน่ชัดว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิด
ฉะนั้น การรักษา “ ดุลยภาค ระหว่าง “ เสรีภาพของผู้ต้องหา” กับ “ การรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม”ให้สมดุล จึงเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องการ
กรณี “บอสแซม” และ “บอสมีน” จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
• นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
• อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
• (อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร  สมัยที่ 25
    20 มกราคม 2568

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Prakan News..บทความทางกฎหมาย โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

วิทยาลัยอาชีวศึกษาในเครือสารสาสน์​ เขต​ปกครองที่​ 11​ จัดงานฉลองครบรอบ​ 60​ ปี​ กลุ่มสถาบันการศึกษาในเครือสารสาสน์

Prakan News..ฟาร์มจระเข้ฯสมุทรปราการ เปิดลานแสดงโชว์ช้างแสนรู้หลังปิดการแสดงโชว์มานาน 5 ปี